วิวัฒนาการของอักษรจีน
นับแต่โบราณกาลมา ผู้คนรู้จักใช้เส้นเชือก
ภาพวาดและเครื่องหมายเพื่อใช้ในการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เมื่อล่วงเวลานานเข้า
จึงเกิดวิวัฒนาการกลายเป็นตัวอักษร สำหรับศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีนนั้น
ได้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อม ๆกับตัวอักษรจีนเลยทีเดียว ดังนั้น
การจะศึกษาถึงศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีนจึงต้องทำความเข้าใจถึงต้นกำเนิด
ของตัวอักษรควบคู่กันไป
การปรากฏของอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดมาจากแหล่งโบราณคดีปั้นปอจาก
เมืองซีอันมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน
สามารถนับย้อนหลังกลับไปได้กว่า 5,000 ปี
โดยอยู่ในรูปของอักษรภาพที่สลักเป็นรูปวงกลม
เสี้ยวพระจันทร์และภูเขาห้ายอดบนเครื่องปั้นดินเผา จวบจนถึงเมื่อ 3,000
ปีก่อนจึงก้าวเข้าสู่รูปแบบของอักษรจารบนกระดูกสัตว์ ซึ่งนับเป็นยุคต้นของศิลปะการเขียนอักษรจีน อักษรภาพที่เก่าแก่ที่สุดในจีน
เมื่อปี ค.ศ. 1899 ชาวบ้านจากหมู่บ้านเล็ก
ๆแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภออันหยางมณฑลเหอหนันประเทศจีนได้
ค้นพบสิ่งที่เรียกกันว่า ‘กระดูกมังกร’
จึงนำมาใช้ทำเป็นตัวยารักษาโรค
ต่อมาเนื่องจากพ่อค้าหวังอี้หรงเกิดความสนใจต่อตัวอักษรบนกระดูก
จึงสะสมไว้มีจำนวนกว่า 5,000
ชิ้นและส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษาวิจัย
จึงพบว่ากระดูกมังกรนั้นแท้ที่จริงคือกระดูกที่จารึกอักขระโบราณของยุคสมัย ซาง
ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,300 ปีก่อนคริสตกาล
อย่างไรก็ตาม
วิวัฒนาการของตัวอักษรจีนเกิดจากการฟูมฟักอย่างค่อยเป็นค่อยไป
มีการผสมผสานกันของอักษรชนิดที่แตกต่างกันในชั่วระยะเวลาหนึ่งผ่านการขัดเกลาจนเกิดเป็นตัวอักษรชนิดใหม่เข้าแทนที่อักษรชนิดเดิม
ไม่ใช่การยกเลิกอักษรชนิดเก่าโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ผู้คนในยุคต่อมาจึงยังคงมีการศึกษาและใช้อักษรในยุคเก่าก่อน
ทั้งในเชิงศิลปะหรือในชีวิตประจำวันที่ยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอ
อักษรจารบนกระดูกสัตว์
อักษรจารบนกระดูกสัตว์(甲骨文)เป็นอักขระโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของจีน
เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน โดยมากอยู่ในรูปของบันทึกการทำนายที่ใช้มีดแกะสลักหรือจารลงบนกระดองเต่า
หรือกระดูกสัตว์ ปรากฏแพร่หลายในราชสำนักซางเมื่อ 1,300
– 1,100 ปีก่อนคริสตกาล
ลักษณะของตัวอักขระบางส่วน ยังคงมีลักษณะของความเป็นอักษรภาพอยู่
โครงสร้างตัวอักษรเป็นรูปวงรี มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ที่ขนาดใหญ่บ้างสูงถึงนิ้วกว่า
ขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว บางครั้งในอักขระตัวเดียวกันยังมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกัน
ตัวอักษรมีการพัฒนาการในแต่ละช่วงเวลา โดยมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ ยุคต้น
ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ ยุคกลาง มีขนาดเล็กและลายเส้นที่เรียบง่ายกว่า
เมื่อถึงยุคปลายจะมีลักษณะใกล้เคียงกับอักษรจินเหวินหรืออักษรโลหะที่มีความ
เป็นระเบียบสำรวม
อักษรโลหะ
อักษรโลหะ (金文) เป็นอักษรที่ใช้ในสมัยซางต่อเนื่องถึงราชวงศ์โจว
(1,100 – 771ปีก่อนคริสตศักราช)
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘จงติ่งเหวิน’ หมายถึงอักษรที่หลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสำริด
เนื่องจากตัวแทนภาชนะสำริดในยุคนั้นได้แก่ ‘ติ่ง’ซึ่งเป็นภาชนะคล้ายกระถางมีสามขา
ใช้แสดงสถานะทางสังคมของคนในสมัยนั้นและตัวแทนจากเครื่องดนตรีที่ทำจากโลหะ คือ ‘จง’
หรือระฆัง
ดังนั้นอักษรที่สลักหรือหลอมลงบนเครื่องใช้โลหะดังกล่าวจึงเรียกว่า ‘จงติ่งเหวิน’
มีลักษณะพิเศษ
คือ มีลายเส้นที่หนาหนัก ร่องลายเส้นราบเรียบที่ได้จากการหลอม
ไม่ใช่การสลักลงบนเนื้อโลหะ
อักษรโลหะในสมัยหลังรัชสมัยเฉิงหวังและคังหวังแห่งราชวงศ์โจว จะมีความสง่างาม
สะท้อนภาพลักษณ์ที่สุขุมเยือกเย็น
เนื้อหาที่บันทึกด้วยอักษรโลหะ โดยมากเป็น
คำสั่งการของชนชั้นผู้นำ พิธีการบูชาบรรพบุรุษ บันทึกการทำสงคราม เป็นต้น
มีการบันทึกการค้นพบอักษรโลหะตั้งแต่รัชสมัยฮั่นอู่ตี้ในราชวงศ์ฮั่น (116
ปีก่อนคริสตศักราช) บนภาชนะ ‘ติ่ง’ ที่ส่งเข้าวังหลวง
ดังนั้น จึงมีการศึกษาและการทำอรรถาธิบายจากปัญญาชนในยุคต่อมา
อักษรจ้วนเล็ก
จากสมัยชุนชิวจั้นกว๋อจนถึงยุคการก่อตั้งราชวงศ์ฉิน (770
– 202
ปีก่อนคริสตศักราช)
โครงสร้างของตัวอักษรจีนโดยมากยังคงรักษารูปแบบเดิมจากราชวงศ์โจวตะวันตก
ซึ่งนอกจากอักษรโลหะแล้ว ยังมีอักษรรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะกับการบันทึกลงในวัสดุแต่ละชนิด เช่น อักษรที่ใช้ในการลงนามสัตยาบันร่วมระหว่างแว่นแคว้นที่สลักลงบนแผ่นหยกก็
เรียกว่า หนังสือพันธมิตร หากสลักลงบนไม้ก็เรียกสาส์นไม้ หากสลักลงบนหินก็เรียก
ตัวหนังสือกลองหิน ฯลฯ นอกจากนี้
ก่อนการรวมประเทศจีนบรรดาเจ้านครรัฐหรือแว่นแคว้นต่างก็มีตัวอักษรที่ใช้แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนหนึ่งได้แก่อักษรจ้วนใหญ่หรือต้าจ้วน ซึ่งเป็นต้นแบบของเสี่ยวจ้วนในเวลาต่อมา
ภายหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกันในปีค.ศ.
221แล้ว ก็ทำการปฏิรูประบบตัวอักษรครั้งใหญ่
โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตัวอักษรที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วประเทศ กล่าวกันว่า
ภายใต้การผลักดันของมหาเสนาบดีหลี่ซือ
ได้มีการนำเอาตัวอักษรดั้งเดิมของรัฐฉิน(อักษรจ้วน)มาปรับให้เรียบง่ายขึ้น
จากนั้นเผยแพร่ออกไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน
ก็ยกเลิกอักษรที่มีลักษณะเฉพาะจากแว่นแคว้นอื่น ๆในยุคสมัยเดียวกัน
อักษรที่ผ่านการปฏิรูปนี้ รวมเรียกว่า อักษรเสี่ยวจ้วนหรือจ้วนเล็ก (小篆) ถือเป็นอักษรที่ใช้ทั่วประเทศจีนเป็นครั้งแรก
อักษรลี่ซู
ขณะที่ยุคสมัยฉินประกาศใช้อักษรจ้วนเล็กอย่างเป็นทางการ
พร้อมกันนั้นก็ปรากฏว่ามีการใช้อักษรลี่ซู(隶书)ควบคู่กันไป
โดยมีการประยุกต์มาจากการเขียนอักษรจ้วนอย่างง่าย อักษรลี่ซูทำให้อักษรจีนก้าวเข้าสู่ขอบเขตของอักษรสัญลักษณ์อย่างเต็มรูปแบบ
อาจกล่าวได้ว่า
เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนรูปจากอักษรโบราณที่ยังมีความเป็นอักษรภาพสู่
อักษรจีนที่ใช้ในปัจจุบัน
สำหรับที่มาของอักษรลี่ซูนั้น
กล่าวกันว่าสมัยฉินมีทาสที่เรียกว่าเฉิงเหมี่ยวผู้หนึ่ง เนื่องจากกระทำความผิด
จึงถูกสั่งจำคุก
เฉิงเหมี่ยวที่อยู่ในคุกคุมขังจึงคิดปรับปรุงตัวอักษรจ้วนให้เขียนง่ายขึ้น
จากโครงสร้างกลมเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยมกลายเป็นอักษรรูปแบบใหม่
จิ๋นซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงโปรดอย่างมาก
จึงทรงแต่งตั้งให้เฉิงเหมี่ยวทำหน้าที่อารักษ์ในวังหลวง
ต่อมาตัวหนังสือชนิดนี้แพร่หลายออกไป จึงมีการเรียกชื่อตัวหนังสือชนิดนี้ว่า
อักษรลี่ซูหรืออักษรทาส (คำว่า ‘ลี่’ ในภาษาจีนหมายถึง
ทาส)
แต่ในเชิงโบราณคดีนั้น
พบว่าอักษรลี่ซูเป็นอักษรที่ใช้เขียนบนวัสดุที่ทำจากไม้หรือไม้ไผ่มาตั้งแต่
ยุคจั้นกว๋อจนถึงสมัยฉิน และมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ
จวบถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นได้กลายเป็นอักษรที่ได้รับความนิยมสูงสุด
อักษรข่ายซู
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอักษรจริง (真书) เป็นอักษรจีนรูปแบบมาตรฐานใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
อักษรข่ายซูเป็นเส้นสัญลักษณ์ที่ประกอบกันขึ้น
ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยม หลุดพ้นจากรูปแบบอักษรภาพของตัวอักขระยุคโบราณอย่างสิ้นเชิง
อักษรข่ายซูมีต้นกำเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ภายหลังราชวงศ์วุ่ยจิ้น(สามก๊ก) (คริสตศักราช 220 – 316)
ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นใหม่ของอักษรลี่ซู
พัฒนาตามมาด้วย อักษรข่ายซู เฉ่าซู และสิงซู
ก้าวพ้นจากข้อจำกัดของลายเส้นที่มาจากการแกะสลัก เมื่อถึงยุคถัง(คริสตศักราช 618 –
907)
จึงก้าวสู่ยุคทองของอักษรข่ายซูอย่างแท้จริง จวบจนปัจจุบัน อักษรข่ายซูยังเป็นอักษรมาตรฐานของจีน
อักษรเฉ่าซู
ตั้งแต่กำเนิดมีตัวอักษรจีนเป็นต้นมา
อักษรแต่ละรูปแบบล้วนมีวิธีการเขียนแบบตัวหวัดทั้งสิ้น จวบจนถึงราชวงศ์ฮั่น
อักษรหวัดจึงได้รับการเรียกขานว่า ‘อักษรเฉ่าซู’
(草书)อย่างเป็นทางการ
(คำว่า ‘เฉ่า’ ในภาษาจีนหมายถึง
อย่างลวก ๆหรืออย่างหยาบ) อักษรเฉ่าซู
เกิดจากการนำเอาลายเส้นที่มีแต่เดิมมาย่นย่อเหลือเพียงขีดเส้นเดียว
โดยฉีกออกจากรูปแบบอันจำเจของกรอบสี่เหลี่ยมในอักษรจีน
หลุดพ้นจากข้อจำกัดของขั้นตอนวิธีการขีดเขียนอักษรในแบบมาตรฐานตัวคัดหรือ ข่ายซู
ในขณะที่อักษรข่ายซูอาจประกอบขึ้นจากลายเส้นสิบกว่าสาย แต่อักษรเฉ่าซูเพียงใช้ 2 –
3
ขีดก็สามารถประกอบเป็นสัญลักษณ์เช่นเดียวกันได้
อักษรสิงซู
อักษรสิงซู(行书)เป็นรูปแบบตัวอักษรที่อยู่กึ่งกลางระหว่างอักษรข่ายซูและ
อักษรเฉ่าซู
เกิดจากการเขียนอักษรตัวบรรจงที่เขียนอย่างหวัดหรืออักษรตัวหวัดที่เขียน อย่างบรรจง
อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวอักษรกึ่งตัวหวัดและกึ่งบรรจง
อักษรสิงซูกำเนิดขึ้นในราวปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
รวบรวมเอาปมเด่นของอักษรข่ายซูและเฉ่าซูเข้าด้วยกัน
อักขระโบราณและอักษรปัจจุบัน
ตัวอักษรจีนสามารถแบ่งออกเป็นอักขระที่ใช้ในสมัยโบราณกับอักษรที่ใช้ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น อักษรลี่ซูซึ่งเป็นรูปแบบของอักขระโบราณ อันเป็นต้นแบบของการปฏิรูปลักษณะตัวอักษรจีนครั้งใหญ่ กลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างอักษรรุ่นเก่าและใหม่ ยุคสมัยที่ใช้อักษรลี่ซูและก่อนหน้านั้น ถือเป็นอักขระโบราณ ได้แก่ อักษรจารบนกระดูกสัตว์หรือเจี๋ยกู่เหวินจากสมัยซาง อักษรโลหะจากราชวงศ์โจวตะวันตก อักษรเสี่ยวจ้วนจากยุคสมัยจั้นกว๋อและสมัยฉิน หลังจากกำเนิดอักษรลี่ซูให้ถือเป็นอักษรในยุคปัจจุบัน อันได้แก่ อักษรลี่ซู อักษรข่ายซู สำหรับอักษรเฉ่าซูและสิงซู อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงพัฒนาการของรูปแบบตัวอักษร ไม่ใช่วิวัฒนาการของตัวอักษรจีนโดยรวม
ที่มา :
http://www.sts.ac.th/0538/2016/09/22/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%88/
http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=15391
ที่มา :
http://www.sts.ac.th/0538/2016/09/22/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%88/
http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=15391
น่าสนใจมากก
ตอบลบภาษาจีนเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
ตอบลบภาษาจีนน่าสนใจมากเลยคับ
ตอบลบ